การเลือกประเภทวัสดุก่อสร้างมีความสำคัญในการก่อสร้างอย่างมาก เนื่องจากเป็นส่วนประกอบหลักในการก่อสร้างบ้าน อาคารสำนักงาน หรือโครงสร้างสาธารณะต่าง ๆ
ดังนั้น การเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่มีคุณภาพดี ถูกประเภท และการดูแลรักษาวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างเพื่อให้มีอายุการใช้งานที่ยืนยาวนั้นสำคัญอย่างยิ่ง
เรามีคำแนะนำสำหรับการเลือกสินค้าที่ใช้ในการก่อสร้างและออกแบบ ดังนี้:
ในขั้นตอนการเลือกวัสดุก่อสร้าง ควรเลือกวัสดุที่มีคุณภาพดี มาตรฐาน และทนทานต่อสภาพอากาศและการใช้งาน ซึ่งสินค้าหรือวัสดุที่ทนความร้อนได้ดีเป็นตัวเลือกที่เราแนะนำ
วัสดุที่มีคุณภาพดีจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดความเสียหายและลดปัญหาการซ่อมแซมที่อาจจะเกิดขึ้นได้บ่อย
ควรตรวจสอบโครงสร้างอาคารเป็นประจำเพื่อตรวจสอบความเสียหาย หากพบปัญหา ควรแก้ไขหรือซ่อมแซมให้เรียบร้อยเพื่อป้องกันรายจ่ายที่อาจจะมีมาก
ควรตรวจสอบและดูแลรักษาระบบประปา ระบบบำบัดน้ำเสีย และระบบไฟฟ้า หากพบปัญหาให้รีบแก้ไขเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดจากการรั่วของน้ำหรือไฟฟ้าซึ่งจะทำให้เกิดอันตรายได้
ความชื้นมีผลกระทบต่อวัสดุก่อสร้างค่อนข้างมาก ความชื้นจะทำให้เกิดการเสื่อมสภาพของวัสดุทั้งด้านนอกและใน
ดังนั้นควรให้ความสำคัญในการป้องกันความชื้น เช่น การทาสีกันน้ำ การติดตั้งระบบระบายน้ำที่ดี และการดูแลพื้นผิว ซึ่งคุณสามารถหาช่างหรือบริษัทรับเหมาที่มีบริการด้านนี้มาช่วยอีกแรงได้
ควรดูแลและทำความสะอาดพื้นผิวของวัสดุก่อสร้าง เช่น กระเบื้อง โดยเฉพาะชนิดที่มีน้ำหนักเบาและไม่แข็งแรง เสาคอนกรีต หรือเหล็กเสริม เพื่อให้วัสดุมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน
นอกจากนี้ ควรดูแลรักษาส่วนประกอบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวัสดุก่อสร้าง เช่น ประตู หน้าต่าง หรือราวบันได คุณสามารถตกแต่งและรีโนเวทสิ่งเหล่าได้อย่างหลากหลาย การลงทุนกับเครื่องทำความสะอาดและมีตัวช่วยอื่น ๆ เสริมจะให้ความสะดวกต่อการรักษาส่วนประกอบเหล่านี้
ควรคำนึงถึงคำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลรักษาวัสดุก่อสร้างและสินค้าต่าง ๆ จากผู้ผลิตเสมอ เก็บข้อมูลในการดูแลรักษาซึ่งอาจจะมีข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับวิธีการดูแลรักษาและการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับสินค้านั้น ๆ
ไม่ว่าจะเป็นการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์หรือการซื้อขายจากหน้างานจริงซึ่งอาจจะดีกว่าการสั่งซื้อ เพราะคุณจะได้เห็นและจับต้องสินค้าได้จริง
หากต้องมีการซ่อมแซมหรือชนิดของสินค้าไม่เป็นแบบที่ต้องการ คุณก็สามารถเปลี่ยนและร้องเรียนกับทางร้านได้ทันที
ปัจจัยที่มีผลต่อราคาวัสดุก่อสร้างเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการควรคำนึงถึงเพื่อการวางแผนการใช้งานและประเมินค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เหมาะสม ซึ่งปัจจัยหลักจะมีดังนี้:
สถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่คงตัว เช่น การเติบโตของเศรษฐกิจที่ช้าลงหรือภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งจะส่งผลต่อความต้องการของวัสดุและราคาสินค้าโดยเฉพาะสินค้าที่เป็นที่ต้องการในตลาดสูง
นโยบายทางการค้า การภาษี และการควบคุมราคาของรัฐบาลสามารถส่งผลต่อการผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้างได้
ความแข่งขันที่สูงระหว่างการซื้อขายวัสดุก่อสร้างมักส่งผลต่อราคาของตัวสินค้า เช่น การตลาดของผู้ผลิตวัสดุใหม่ การนำเข้าวัสดุก่อสร้างจากต่างประเทศ และการสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ซึ่งปัจจุบันเป็นที่นิยมอย่างมาก
ทรัพยากรธรรมชาติเป็นทรัพยากรที่มีจำกัดและมักจะมีการปรับเปลี่ยนในเรื่องราคาวัสดุที่รวดเร็ว ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ และปัจจัยอื่น ๆ อาจส่งผลต่อต้นทุนการผลิตสินค้าและทำให้ราคาของวัสดุแปรปรวน ไม่ว่าจะเป็น หิน ทราย หรือเหล็ก
ค่าใช้จ่ายในการขนส่งวัสดุก่อสร้างจากที่ผลิตไปยังสถานที่จำหน่าย และค่าแรงงานในการผลิตจะส่งผลต่อราคาของวัสดุก่อสร้างไม่ว่าจะเป็นสินค้าชนิดใด หากค่าใช้จ่ายเหล่านี้เพิ่มขึ้นราคาสินค้าและวัสดุก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน
การเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการและหรือผู้รับเหมาสามารถวางแผนการทำงาน การควบคุมค่าใช้จ่าย และการประเมินความโครงสร้างของโครงการได้ อีกทั้งยังช่วยในการตัดสินใจเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับงบประมาณได้ดียิ่งขึ้น
การประเมินต้นทุนสำหรับสินค้าก่อสร้างหลัก ๆ แล้วจะขึ้นอยู่กับปริมาณ ราคาสินค้าในตลาด และความต้องการของผู้ประกอบการและจากบริษัทรับเหมา
ซึ่งเราจะนำเสนอตัวอย่างราคาโดยประมาณของสินค้าหลักที่ใช้ในการก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างบ้าน ตึก หรืออาคาร ต่าง ๆ
ตัวอย่างการประเมินต้นทุนสำหรับสินค้าวัสดุก่อสร้างดังกล่าวมีดังนี้:
คุณสามารถคำนวณจำนวนพื้นที่ที่ต้องการปูกระเบื้องเป็นแบบตารางเมตร ตัวอย่างก็คือหากคุณต้องการปูกระเบื้องพื้นที่ 100 ตารางเมตร และราคากระเบื้องต่อตารางเมตรคือ 500 บาท
ต้นทุนคือ 100 x 500 = 50,000 บาท ทั้งนี้ราคากระเบื้องแต่ละแผ่นจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับคุณภาพและราคาตามท้องตลาด
คุณสามารถคำนวณปริมาณที่ต้องการเป็นแบบลูกบาศก์เมตรและคูณด้วยราคาของคอนกรีตต่อลูกบาศก์เมตร เช่น หากต้องใช้มวลคอนกรีตปริมาณ 20 ลูกบาศก์เมตร
และต้นทุนคือ 20 x 2,000 = 40,000 บาท
โดยรวมแล้ว คุณสามารถคำนวณน้ำหนักของเหล็กที่ต้องการเป็นแบบกิโลกรัม เช่น หากต้องการเหล็กน้ำหนัก 1,000 กิโลกรัม และราคาเหล็กต่อกิโลกรัมคือ 50 บาท
ต้นทุนคือ 1,000 x 50 = 50,000 บาท
Note: นี่เป็นเพียงตัวอย่างการประเมินต้นทุนเท่านั้น การประเมินต้นทุนในโครงการก่อสร้างจริง ๆ จะต้องพิจารณาจากความต้องการของผู้ประกอบการและสิ่งที่ผู้รับเหมาหรือนักออกแบบแนะนำ